เที่ยวเช้ายันค่ำ จากเมืองไทย ไปตะลอนย่านบูกิส แวะตรอกสุดฮิปฮาจิเลน และถ่ายไฟที่มารีน่าเบย์
ทริปนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ไปเที่ยวประเทศสิงคโปร์ โดยไปทั้งหมด 5 วัน 4 คืน จองตั๋วไว้ก่อนล่วงหน้าในช่วงที่แอร์เอเชียโปรโมชั่นพอดี ก็เลยได้มาในราคาค่อนข้างโอเค ตกคนละประมาณ 3,700 บาท (ดูวิธีจองตั๋วเครื่องบิน) ตอนแรกที่จองนั้นก็คิดว่าไป 5 วันไม่รู้จะมีอะไรเที่ยวเยอะขนาดนั้นรึป่าว แต่พอมานั่งหาข้อมูลแล้ววางแผนเที่ยวดู กลายเป็นว่าวันไม่พอไปซะงั้น เพราะสถานที่ท่องเที่ยวของสิงคโปร์แต่ละที่ค่อนข้างใหญ่ บางที่เดินเที่ยวได้เกือบทั้งวัน เช่น เกาะเซ็นโตซ่า หรือ Garden by the bay หรือใครอยากรู้ว่ามีที่ไหนฮิตบ้างก็ลองดูได้ที่ 15 สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของประเทศสิงคโปร์ ขนาดไปเที่ยวมาเต็มๆ 5 วันก็ยังเก็บไม่หมดเลย อาจจะต้องไปอีกรอบ ลองมาดูวันแรกกันก่อน ซึ่งจะพาไปเที่ยวแถวย่านบูกิสกับฮาจิเลน เดินเล่นจนเย็นก็ไปถ่ายไฟที่แถวๆมารีน่าเบย์พร้อมถ่ายรูปกับสิงโตเมอร์ไลอ้อน
วันแรกของการเดินทางไปเที่ยวสิงคโปร์ เครื่องออกประมาณ 6 โมงเช้า ก็ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ตอนแรกคิดว่าเช็คอินมาจากที่บ้านเรียบร้อยแล้วคงจะรอไม่นาน ปรากฎว่าคนเยอะมากยืนต่อคิวอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้เช็คอินกระเป๋า
ใช้เวลานั่งเครื่องไปประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินชางฮีประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเวลาที่สิงคโปร์จะเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง พอลงเครื่องแล้วก็ปรับเป็นเวลาของสิงคโปร์ได้เลย เครื่องจากเมืองไทยส่วนมากจะไปลงที่ Terminal 1 จากนั้นก็เข้า ต.ม. และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว จะต้องนั่งรถไฟฟ้าไปยัง Terminal 2 เพื่อไปขึ้นรถ Skytrain เข้าเมืองสิงคโปร์
พอลงเครื่องปุ๊บก็เจอดิวตี้ฟรีเลย มีหลายร้านทั้งเครื่องสำอางค์ น้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือใครหิวก็มีร้านกาแฟคาเฟ่ด้วย แต่เราไม่ได้แวะ รีบเดินไปโซนตรวจคนเข้าเมืองเลย กลัวคนจะเยอะ จากตรงดิวตี้ฟรีก็เดินลงบันไดเลื่อนมาก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง แถวไม่ยาวมาก ใช้เวลาแป๊ปเดียวก็ตรวจเสร็จ ตม.ไม่เข้ม เจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามอะไรเป็นพิเศษ จากนั้นก็เดินไปรับกระเป๋าที่สายพาน พอเดินไปถึงกระเป๋าสัมภาระต่างๆก็มาพอดี ถึงจะเป็นสนามบินใหญ่แต่ขั้นตอนต่างๆรวดเร็วมาก แทบไม่ต้องเสียเวลารอเลย
หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ให้เดินตามป้าย Skytrain 2&3 ไป เพื่อขึ้นรถไปยังอีก Terminal นึง เพราะสายการบินส่วนใหญ่จากเมืองไทยนั้นมักจะมาลงที่ Terminal 1 ซึ่งที่อาคารนี้จะไม่มีรถ MRT เข้าเมือง ดังนั้นเราก็ต้องนั่ง Skytrain ไปประมาณ 3-5 นาที ด้านในรถจะมีที่นั่งค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะยืนเอาเพราะแต่ละคนก็มีลากกระเป๋ากันมา และนั่งไปไม่นานด้วย เขาจึงเน้นให้ยืนเพื่อที่จะได้ไม่เปลืองพื้นที่
ออกจากรถ Skytrain ก็เดินไปนั่งรถ MRT เพื่อที่จะเดินทางเข้าเมือง เนื่องจากรอบที่แล้วที่มายังเก็บบัตร EZ-Link เอาไว้อยู่ ก็เลยเติมเงินในบัตรเพิ่มอย่างเดียว ไม่ได้ซื้อบัตรใหม่ แต่ถ้าใครมาครั้งแรกแล้วซื้อบัตร EZ-link ต้องเสียค่าบัตรด้วย (ดูข้อมูลบัตร EZ-Link คลิกที่นี่)
นั่งไปได้แป๊ปนึงก็ต้องเปลี่ยนรถที่สถานี Tanah Merah station เพื่อต่อรถไฟสายสีเขียว East West Line ไปลงที่สถานี Lavender เพื่อเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมก่อน พอออกมาจากสถานีก็เห็นป้ายโรงแรม V Hotel Lavender อยู่ด้านหน้าเลย เดินตามป้ายไปนิดเดียวก็เจอโรงแรมแล้ว เรียกว่าสะดวกสุดๆ จากสถานีรถ MRT ไม่กี่ก้าวก็ถึงแถมแถวนั้นยังมีของกินเพียบเลย (ดูรีวิวโรงแรม V Hotel )
พอเก็บกระเป๋าแล้วก็ออกเที่ยวกันเลย หาอะไรกินรองท้องแถวๆโรงแรมก่อน เพราะตอนเดินผ่านมาเห็นของน่ากินหลายร้าน และหนึ่งในนั้นก็คือร้านกระหรี่ปั๊ปชื่อดัง Old Chang Kee เก่าแก่กว่า 60 ปี มาสิงคโปร์ก็ต้องห้ามพลาด เพราะโด่งดังจนมีสาขาเกือบทั่วทุกที่ในสิงคโปร์ เลยจัดมาชิมลองท้องก่อนนิดหน่อย กะหรี่ปั๊ปไส้ Original กับลูกชิ้นปลา (ข้อมูลร้าน Old Chang Kee)
แป้งไม่หนามาก ไส้เต็มๆคำ
จากสถานี Lavender นั่งรถสายสีเขียวไป 1 ป้าย ลงที่สถานี Bugis จากนั้นเดินไปประมาณ 350 เมตรก็จะถึงตรอกฮาจิ เป็นถนนเดินเล่นสายเล็กๆ มีความยาวประมาณ 200 กว่าเมตร แต่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าฮิปๆ ตกแต่งร้านมีสไตล์เฉพาะตัว สีอาคารหรือผนังตึกก็จะมีการเพ้นท์รูปแนวอาร์ทๆ จริงๆช่วงที่คึกคักและคนนิยมเที่ยวจะเป็นช่วงเย็นๆถึงกลางคืน (ดูข้อมูลและวิธีเดินทางไปตรอกฮาจิ)
พอเดินมาจนสุดซอย ก็มาเห็นร้านบะหมี่ร้านหนึ่ง คนต่อคิวกันเยอะมาก ก็เลยตัดสินใจทานมื้อเที่ยงที่ร้านนี้ ชื่อร้าน Blanco Court Prawn Mee ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่กุ้งจัมโบ้ หาโต๊ะนั่งแล้วก็ค่อยเดินไปสั่ง เมนูเด็ดของที่นี่ก็คือบะหมี่กุ้ง สั่งมาลองชิมดู น้ำซุปเข้มข้น เส้นบะหมี่เหลืองจะหนาและเส้นใหญ่กว่าบะหมี่ที่บ้านเรา และก็มีพวกของทอดด้วย พอเราเลือกของเสร็จเขาจะเอาไปทอดให้ใหม่ กรอบอร่อยดี กินกับบะหมี่ก็เข้ากัน
อิ่มท้องแล้วก็มาต่อกันด้วยกาแฟเย็นดับร้อนกันซะหน่อย ร้านกาแฟ Artistry เป็นหนึ่งในร้านกาแฟชื่อดังของย่านแห่งย่านบูกิส ตึกสังเกตุง่ายเป็น ทั้งตึกจะเป็นสีเทาเข้ม บานหน้าต่างสีขาวตัดกับผนังอย่างชัดเจน รสชาติกาแฟจะคล้ายๆกับกาแฟโบราณ โดยส่วนตัวแล้วเฉยๆ ชอบที่การตกแต่งและบรรยากาศภายในร้าน เป็นการนำตึกเอามาตกแต่งได้อย่างลงตัว
หลังจากนั่งตากแอร์พักร้อนกันจนหายเหนื่อยแล้ว ก็ไปตะลอนกันต่อที่ตลาดบูกิส(Bugis Street Market)เลย เดินกลับไปทางเดิมของสถานี MRT ตลาดบูกิสก็อยู่ตรงนั้นเลย ด้านในมีของขายเยอะมาก มีทั้งขนม ของกิน เสื้อผ้า กระเป๋า ผัก ผลไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าใครอยากซื้อของฝากก็ซื้อที่นี่ได้เช่นกัน อย่างพวกพวงกุญแจหรือที่ติดตู้เย็น
มาสิงคโปร์ก็ต้องไม่พลาดที่จะกิน บักกุ๊ดเต๋ ไม่ไกลจากตลาดบูกิสก็มีร้านบักกุ๊ดเต๋ชื่อดัง Ah Seng Ba Kut Teh ตั้งอยู่ด้านหลังห้าง Bugis Junction ซึ่งจากตลาดที่เราเดินเล่นเมื่อกี้นี้ก็ให้เดินข้ามถนนเข้าไปยังห้าง Bugis Junction แล้วเดินทะลุออกทางด้านหลัง ก็จะเจอร้านอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามเลย ตอนที่ไปถึงนั้นเป็นช่วงประมาณบ่าย 2 โมงแล้ว ในร้านเลยโล่งมาก ไม่ต้องรอคิวเลย แต่ก็ยังอิ่มจากข้าวเที่ยงอยู่ เลยสั่งมา 1 ถ้วยแบ่งกันกิน กระดูกหมูนั้นนุ่มมาก ต้มจนเปื่อยแล้ว ส่วนน้ำซุปจะคล้ายๆกับก๊วยจั๊บที่บ้านเรา หนักพริกไทยแต่รสชาติกลมกล่อมกว่า
ช่วงเย็นก็เดินเที่ยวถ่ายรูปแถวย่านบูกิส เช่น Bugis Village, วัดเจ้าแม่กวนอิม, วัดศรีกฤษณะ
วัดเจ้าแม่กวนอิม kwan im thong hood cho temple วัดศรีกฤษณะ Sri Krishnan Temple
จากบูกิส ก็ขึ้นรถ MRT สายสีเขียวไปลงที่สถานี Raffles Place เพื่อไปเดินเที่ยวรอถ่ายรูปที่ย่านมารีน่า เบย์ ย่านนี้เป็นย่านธุรกิจใจกลางเมืองเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า มีอะไรน่าสนใจหลายที่เลย หากเดินเรียบแม่น้ำไปก็จะเจอกับ รูปปั้นในอิริยาบทต่างๆของชาวสิงคโปร์ในสมัยก่อน ว่าใช้ชีวิตกันยังไง มีทั้งควายลากเกวียนและกลุ่มเด็กๆกำลังเล่นกระโดดน้ำ
จนเย็นก็มาถึงสิงโตพ่นน้ำเมอร์ไลอ้อน สัญลักษณ์ของสิงคโปร์ ซึ่งมีตัวเป็นสิงโตส่วนด้านล่างเป็นปลานั่นเอง บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่มาเที่ยวและมานั่งเล่น รอชมการแสดง แสงสีเสียงริมน้ำของมารีน่า เบย์
รูปปั้นสิงโตเงือก เมอร์ไลอ้อน Merlion
พอชมการแสดงจบ ก็เดินกลับไปขึ้นรถ MRT ที่สถานี City Hall ไปลงที่สถานี Lavender เพื่อกลับโรงแรม ระหว่างทางเดินกลับนั้นอาคารส่วนใหญ่ก็จะเปิดไฟกันอย่างสวยงาม เดินเล่นชิวๆชมตึกและอาคารต่างๆ เช่น อาคาร Victory Concert Hall
กว่าจะกลับถึงโรงแรมก็ 5 ทุ่มกว่าแล้ว เที่ยวทรหดตื่นตั้งแต่ ตี 4 กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืน เหนื่อยแต่ก็สนุกมากๆเลยวันนี้ ติดตามรีวิวตอนต่อไปกันได้เลย