รีวิวเที่ยวสิงคโปร์ 1 วัน ตะลอนเกาะสวนสนุกเซ็นโตซ่า ชิมน้ำแข็งใส เที่ยวกินดื่มย่านคลาร์กคีย์
รีวิวเที่ยวสิงคโปร์ เช้านี้มีอาหารฟรีจากโรงแรม โดยตอนเช็คอินที่โรงแรม Santa grand china จะให้คูปองชุดอาหารเข้ามาห้องละ 2 ใบ และก็มี Welcome Drink อีก 1 แก้ว ซึ่งจะเป็นร้านในเครือของโรงแรมด้านนอก สำหรับอาหารเช้าให้เอาคูปองไปที่ร้าน Nanyang Old Coffee เป็นร้านกาแฟสีแดงอยู่ตรงหัวมุมถนน ชุดอาหารเช้าก็มีให้เลือก 2 แบบ คือแบบคายาโทส กับ ซาลาเปา เราลองสั่งมาทั้ง 2 แบบเลย คายาโทสก็คล้ายกับร้านเมื่อวานที่ไปกินคือมีขนมปัง ไข่ลวก และกาแฟ แต่ของร้านยาคุน คายา โทส จะอร่อยกว่า ส่วนซาลาเปาไม่ร้อนเลย ขนมสีแดงๆด้านในเป็นไส้ถั่วเหลือง รสชาติโดยรวมแล้วแนะนำสั่งเป็นแบบคายาโทสดีกว่า
วันนี้เราจะไปเที่ยวเกาะสวนสนุกเซ็นโตซ่า ภายในเกาะก็จะมีที่เที่ยวต่างๆกระจายอยู่ทั่วไป เช่น Universal Studio, พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ SEA Aquarium, , ทางเดินลอยฟ้า Fort silifo และเมอร์ไลอ้อนตัวใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ จากไชน่าทาวน์ก็นั่งรถ MRT ไปลงที่สถานี จากนั้น ต่อรถ Sentosa Express เพื่อนั่งข้ามไปยังเกาะเซ็นโตซ่า จ่ายครั้งเดียวขาเข้าเกาะ $4 ซึ่งหากใครมีบัตร EZ-Link ก็ใช้แตะเข้าได้เลย เนื่องจากครั้งก่อนที่มาเราเที่ยว Universal Studio ไปแล้ว รอบนี้เลยจะลองเที่ยวรอบๆเกาะดู
นั่งไปลงสุดทางเลยก็คือสถานี Beach Station เป็นสถานีริมชายหาด แถวๆนี้ก็จะมี Kidsania ตึกใหญ่เลย, สวนน้ำเรือโจรสลัด, ชายหาด Palawan, iFly Singapore
จากนั้นก็เดินขึ้นบันได เพื่อไปยัง เมอร์ไลอ้อน วอร์ค Merlion Walk เป็นทางเดินโมเสสสีสันสดใส ซึ่งเมื่อเดินไปเรื่อยๆก็จะเจอกับสิงโต เมอร์ไลอ้อน แห่งเกาะเซ็นโตซ่า ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษ์ของเกาะแห่งนี้ ที่ด้านบนหัวของสิงโตนั้นเป็นที่ชมวิว สามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศาเลย จากนั้นก็เดินลงบันไดมาถ่ายรูปกับป้าย Sentosa มีฉากหลังเป็นสิงโตเมอร์ไลอ้อน มุมถ่ายภาพยอดฮิตที่มาเกาะเซ็นโตซ่าแล้วต้องถ่ายที่มุมนี้
เดินต่อมาเรื่อยๆก็จะเป็นโซนทางเดิน Festive Walk ตรงกลางมีน้ำพุ Lake of dream และด้านข้างมีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ มี 2 ชั้นด้วยกัน ถ้าใครอยากเดินช้อปปิ้งก็ให้มาที่โซนนี้เลย
อีกหนึ่งที่เที่ยวยอดฮิตไม่แพ้ Universal Studio ก็คือ SEA Aquarium เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์ทะเลขนาดใหญ่ มีทั้งฉลาม, ปลากระเบน, จัดแสดงไว้ด้านใน อยู่ตรงข้ามกับทางเข้าของ Universal Studio
เดินมาทุกสถานีของ Sentosa Express แล้ว หิวโซพอสมควร ที่เกาะเซ็นโตซ่านี้มีฟู๊ดเซ็นเตอร์ชื่อดัง Malaysian Food Street ด้านในตกแต่งร้านในธีมของร้านรถเข็นสไตล์มาเลเซีย รวมถึงอาหารต่างๆด้วยก็จะเป็นอาหารมาเล ลองซื้อหมูสะเต๊ะมาชิมดู กับ ก๋วยเตี๋ยวแกงซึ่งรสชาติคล้ายกับน้ำซุปของข้าวซอยที่บ้านเราเลย
จากนั้นก็นั่งรถบัสไปยังทางเดินลอยฟ้า Fort Siloso ตอนนี้เปิดให้เข้าฟรีด้วย ส่วนรถบัสก็นั่งที่สถานีรถบัสด้านล่างของ Resort World นั่งฟรีไม่เสียเงินเหมือนกัน และไปลงที่ป้าย Fort Siloso ก็จะเป็นเหมือนหอคอยสูงๆ ให้เดินไปทางนั้นจะมีลิฟท์ขึ้นไปที่ด้านบนของทางเดินลอยฟ้า เดินไปเรื่อยๆที่สุดทางเดินจะเป็นป้อมเก่า ที่เคยใช้ในการสอดส่องในช่วงสงคราม
ถัดจากนั้นก็จะเป็นชายหาด Siloso มีทางเดินข้ามไปยังเกาะกลางทะเลด้วย เดินเล่นเสร็จแล้วก็นั่งรถ Beach Tram ตรงป้าย Siloso Beach ไปลงที่สถานี Beach Station จากนั้นก็นั่งรถ Sentosa Express กลับไปต่อรถที่เดิมที่สถานี แล้วก็กลับโรงแรม
หลังจากเที่ยวเกาะเซนโตซ่ากันเสร็จ ก็กลับมาที่ไชน่าทาวน์เพื่อเอากระเป๋าย้ายไปนอนที่โรงแรมย่านเกลัง Geylang ซึ่งเป็นย่านที่พักราคาถูกของสิงคโปร์ กลับมาถึงไชน่าทาวน์ ก่อนจะไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ตั้งแต่เช้า ก็แวะหาขนมกินก่อน
โรงแรม Santa Grand Chinatown (ดูรีวิวได้ที่นี่) ที่เรานอนคืนก่อนมี complementary drink ที่ร้านขนมข้างๆโรงแรมที่ชื่อว่า Bing Lang ให้ด้วย เป็นน้ำผลไม้ 2 แก้ว รสชาติเหมือนน้ำผลไม้ขวดที่เอาไว้ผสมน้ำกิน ไม่ใช่แบบผลไม้สด
จากนั้นก็เลยไปกินขนมหวาน ประเภทน้ำแข็งใส ร้านดังของสิงคโปร์ ชื่อว่าร้าน Mei Haung Yuen Dessert นอกจากจะมีน้ำแข็งใสให้เลือกมากมายหลายรสแล้ว ยังขายขนมหวานอย่างอื่นอีกหลายประเภทเลย และคนก็เยอะมากแน่นร้านเลยทีเดียว
ทานขนมหวานกันเสร็จก็ได้เวลา ไปเอากระเป๋าที่โรงแรม แล้วย้ายไปโรงแรมใหม่ โดยลงที่สถานีรถไฟ Aljunied แล้วเดินต่อประมาณ 600 เมตรก็จะถึงโรงแรมคืนนี้ของเรา ชื่อว่า Fragance Hotel Ruby เป็นโรงแรม chain สไตล์ Business Hotel ที่มีสาขาอยู่หลายสิบสาขาทั่วประเทศสิงคโปร์ อ่านรีวิวโรงแรม Fragance Hotel Ruby ต่อที่นี่
พักในโรงแรมได้ซักพัก ก็ได้เวลามือเย็นของเราแล้ว โดยมื้อเย็นวันนี้ เราจะไปลุยกินร้านที่นักท่องเที่ยวไม่รู้จัก แต่ดังในหมู่ชาวสิงคโปร์ เป็นร้านที่เราต้องไปต่อคิวรอนานที่สุดในทริปนี้ เกือบ 1 ชั่วโมง เป็นร้านที่ อยู่ในแหล่งชุมชน ห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยว แถมยังตั้งอยู่หลบมุมสุดๆ เพราะอยู่ในศูนย์อาหารของ Apartment เลข 466 แต่พอไปเจอแล้ว ใช่แน่นอน เพราะดูจากคิวที่ยาวล้นออกมาถึงข้างนอก ร้านนี้ขายบะหมี่หมู ใส่ซอสเปรี้ยว อารมณ์น่าจะคล้ายกับ บะหมี่ต้นยำ แต่เป็น สไตล์จีนใส่เครื่องหลายๆแบบผสมๆกัน ที่ต้องรอนานเพราะใช้เวลาในการทำนานมาก กว่าจะลวกเส้น กว่าจะปรุงรสเสร็จชามหนึ่งประมาณ 5 นาที รอ 10 คนก็ปาเข้าไป 50 นาทีแล้ว รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ สั่งแบบแห้งมา น้ำซุปหอม เข้มข้น อร่อยใช้ได้ ลืมบอกชื่อไป ร้านนี้ชื่อว่า Hill Street Tai Hwa Pork Noodle เป็นร้านเก่าแก่เปิดมานานมาก 80 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1932 อยู่ที่สถานีรถไฟ Lavender ฝั่งตรงข้ามโรงแรม V Hotel Lavender ใต้ตึกเลข 466 ที่ต้องเดินข้ามคลองน้ำไปก่อน ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินประมาณ 300-400 เมตร
พอกินกันเสร็จ แผนการเดินเล่นตอนกลางคืนของเราในคืนนี้จะไปที่ย่านริมน้ำ Clark Quay กัน ไปถึงน่าจะประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ร้านรวง เปิดให้บริการกันหมดแล้ว คนเยอะแยะ คึกคักมากผิดกับกลางวันราวฟ้ากับเหว เรียกว่าเหมือนมีชีวิตขึ้นมาเลย ระหว่างที่เดินไป ก็เดินย้อนไปแวะถ่ายรูปที่สะพาน ที่เปิดไฟเป็นสีรุ้งสวยงามมาก และอาคาร Ministry of Culture ที่เปิดไฟตามหน้าต่างสวยงามมากเช่นกัน ส่วนบริเวณ Clark Quay ก็มีคนมานั่งเล่น ชิวๆริมน้ำกัน มีเรือ นำเที่ยวให้บริการเป็นท่าใหญ่อยู่ที่นี่ด้วย แล้วก็มีร้านอาหารและผับบาร์ต่างๆเปิดเพลงกันตามสไตล์ของแต่ละร้าน ใครสนใจย่าน Clark Quay ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่