SINGAPORE TALON GUIDE เที่ยว∙กิน∙ช้อป สิงคโปร์ แบบง่ายๆ ครบจบในหน้าเดียว
SINGAPORE TALON GUIDE ในหน้านี้เราได้รวบรวมเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับ สิงคโปร์ เกาะเล็กๆที่อัดแน่นไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจมากมาย สำหรับใครที่กำลังเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยว เช่น วิธีการเดินทาง, การเดินทางจากสนามบินเข้าตัวเมืองสิงคโปร์, สภาพอากาศต่างๆของสิงคโปร์, ตัวอย่างโปรแกรมเที่ยวต่างๆ เพื่อให้การวางแผนเที่ยวสิงคโปร์เป็นเรื่องง่ายและได้ทริปที่ถูกใจมากที่สุด และทั้งนี้รวมกันอยู่ในหน้านี้แบบจบๆทีเดียวเลย
ทำไมต้อง สิงคโปร์
ประเทศสิงคโปร์(Singapore)เป็นเกาะเล็กๆอยู่ทางตอนใต้ของประเทศมาเลเซียห่างจากประเทศไทยประมาณ 2 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน คนไทยสามารถเดินทางไปเที่ยวได้เลยโดยไม่ต้องขอวีซ่า มีความหลากหลายของชนชาติค่อนข้างมาก จึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง ทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่หลากหลายโดยเฉพาะจากคนเชื้อสายจีน เชื้อสายมาเล และเชื้อสายอินเดีย เป็นประเทศที่เจริญเป็นอันดับต้นๆของเอเชีย ประชาชนเกือบทุกคนจะพูดภาษาอังกฤษได้ มีระบบการเดินทางคมนาคมที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และค่อนข้างจะครอบคลุมพื้นที่หลักๆของประเทศ ทำให้ประเทศสิงคโปร์(Singapore)กลายเป็นอีกหนึ่งประเทศฮิตอันดับต้นๆของนักท่องเที่ยวชาวไทย เพราะไปง่าย ค่าตั๋วเครื่องบินราคาไม่สูง และใช้เวลาเที่ยวเพียงไม่กี่วันก็ได้เที่ยวสถานที่ฮิตๆเกือบครบแล้ว
เที่ยวสิงคโปร์ช่วงไหนดี แต่ละฤดูเป็นยังไง
หลายคนที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวประเทศสิงคโปร์ คงจะอยากรู้ว่าไปช่วงไหน เดือนไหนดีที่สุด? และเราจะแต่งตัวไปเที่ยวสิงคโปร์แบบไหนกันดี? เราลองดูสภาพอากาศและอุณภูมิเฉลี่ยของประเทศสิงคโปร์ดูจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ประเทศสิงคโปร์มีลักษณะเป็นเกาะอยู่ทางตอนใต้ของมาเลเซีย ใกล้กับเส้นศูนย์สูตร จึงมีสภาพอากาศร้อนชื้นเหมือนกับบ้านเราภาคใต้ คือจะมีฝนตกมากเกือบทั้งปี และมีอุณภูมิเฉลี่ยในแต่ละเดือนพอๆกัน
จึงสรุปได้สั้นๆเลยว่า ประเทศสิงคโปร์สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี! อาจจะมียกเว้นช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน เพราะอาจจะพบกับปัญหาหมอกควันที่เกิดจากไฟป่าของประเทศอินโดนีเซียพัดมาปกคลุม ซึ่งประเทศสิงคโปร์ก็พยายามจะแก้ปัญหานี้อยู่
ประเทศสิงคโปร์แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของฤดูเลยในหนึ่งปี มีสภาพอากาศที่คล้ายกับเกาะต่างๆทางภาคใต้ของไทย มีโอกาสที่ฝนจะตกได้ทุกวันตลอดทั้งปี แต่ฝนที่ตกส่วนใหญ่มักจะตกเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น มีอุณภูมิเฉลี่ยในแต่ละเดือนใกล้เคียงกันมากคือประมาณ 25-31 องศาเซลเซียส เย็นกว่ากรุงเทพประมาณ 1-4 องศา มีสภาพอากาศทั่วไปคล้ายกับเมืองไทย คือ ร้อนชื้น ฝนจะตกมากที่สุดอยู่ 3 เดือน คือ เดือนพฤศจิกายน เดือนธันวาคม และเดือนมกราคม
อุณภูมิต่ำสุดของวันโดยเฉลี่ยตลอดทั้งปี คือ 25 องศาเซลเซียส
อุณภูมิสูงสุดของวันโดยเฉลี่ยตลอดทั้งปี คือ 31 องศาเซลเซียส
เดือนที่เย็นที่สุด คือ เดือนมกราคมและเดือนธันวาคม มีอุณภูมิเฉลี่ยร้อนสุด 29 องศาและเย็นสุด 23 องศา
เดือนที่ร้อนที่สุด คือ เดือนเมษายน มีอุณภูมิเฉลี่ยร้อนสุด 31 องศาและเย็นสุด 25 องศา
เดือนที่ฝนตกมากที่สุด คือ เดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ที่มีวันที่ฝนตกเฉลี่ยเกือบทุกวัน
เดือนที่ฝนตกน้อยที่สุด คือ เดือนกุมภาพันธ์
จากสภาพอากาศโดยรวมแล้ว การแต่งตัวไปเที่ยวสิงคโปร์จึงเหมือนกับการเที่ยวในเมืองไทยได้เลย แต่มีคำแนะนำอยู่ 2 ข้อคือ
1. ถ้าเน้นเที่ยวในตัวเมือง ตามแลนมาร์คสำคัญๆต่างๆ การแต่งตัวดีหน่อยจะดูเหมาะสมกว่า การใส่ขาสั้นลากแตะ โดยเฉพาะการเที่ยวตามสถานที่ศาสนาสำคัญด้วย
2. แนะนำให้พกร่มไปด้วย เพราะสิงคโปร์เป็นเกาะ โอกาสที่ฝนจะตกจึงมีค่อนข้างมาก
ไปเที่ยวสิงคโปร์ ใช้งบประมาณเท่าไหร่
ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่เน้นการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมและความเจริญก้าวหน้าของเมือง เป็นประเทศที่เจริญแล้ว มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก มีความปลอดภัยสูง และมีเครือข่ายการคมนาคมต่างๆที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย แต่ถึงอย่างงั้นการมาเที่ยวประเทศสิงคโปร์แบบประหยัดก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของประเทศสิงคโปร์มักจะฟรี
เราจะมาแจกแจงค่าใช้จ่ายต่างๆที่จะเกิดขึ้นในการไปเที่ยวสิงคโปร์กันเลย การท่องเที่ยวต่างประเทศโดยทั่วๆไปจะแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 2 อย่างหลักๆ คือ ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ และค่าใช้จ่ายของการเที่ยวในแต่ละวัน ซึ่งก็จะแบ่งย่อยๆออกมาได้อีกประมาณ 5 ประเภทคือ ค่าที่พัก, ค่ากินอยู่, ค่าเดินทางภายในประเทศ, ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายประเภทหลังนี้จะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่เราอยู่เที่ยว สำหรับประเทศสิงคโปร์ คนนิยมเที่ยวไปกันประมาณ 3-5 วัน โดยเราจะบอกราคาคร่าวๆของแต่ละแบบเอาไว้
ค่าที่พัก – แบบประหยัดสุดๆ 30 เหรียญ / แบบทั่วๆไป 50 เหรียญ(ห้องละ 100 เหรียญแต่นอน 2 คน)
ค่าเดินทาง – แบบประหยัดสุดๆ 3 เหรียญ(นั่งแค่เที่ยวไปและกลับ ที่เหลือเน้นเดิน) / แบบทั่วๆไป 5 เหรียญ
ค่ากิน – แบบประหยัดสุดๆ 15 เหรียญ(กินธรรมดา น้ำก็อก ไม่กินขนม) / แบบทั่วๆไป 20 เหรียญ
ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว – แบบประหยัดสุดๆ ฟรี(เที่ยวเฉพาะที่ฟรี) / แบบทั่วๆไป 10 เหรียญ เข้าเสียตังบางที่
รวมค่าใช้จ่ายต่อวัน แบบประหยัดสุดๆ ประมาณ 20 เหรียญ / แบบทั่วๆไปประมาณ 35 เหรียญ
รวมค่าที่พักต่อคืน แบบประหยัดสุดๆ ประมาณ 30 เหรียญ / แบบทั่วๆไปประมาณ 50 เหรียญ
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ซื้อของฝาก แบบประหยัดสุดๆ ไม่มีค่าใช่จ่าย / แบบทั่วๆไป 20 เหรียญสำหรับของฝาก
ค่าตั๋วเครื่องบิน แบบประหยัดสุดๆ 3,000 บาท / แบบทั่วๆไป 7,000 บาท
สรุปสุดท้าย ไปเที่ยวประเทศสิงคโปร์ ใช้เงินเท่าไหร่
* สมมติว่าอัตราแลกเปลี่ยน 26 บาท / 1 เหรียญสิงคโปร์
ถ้าไปเที่ยว 3 วัน 2 คืน แบบประหยัดจะตกประมาณ 6,000 บาท แบบทั่วๆไปจะตกประมาณ 12,000 บาท
ถ้าไปเที่ยว 4 วัน 3 คืน แบบประหยัดจะตกประมาณ 7,400 บาท แบบทั่วๆไปจะตกประมาณ 15,000 บาท
ถ้าไปเที่ยว 5 วัน 4 คืน แบบประหยัดจะตกประมาณ 10,000 บาท แบบทั่วๆไปจะตกประมาณ 17,000 บาท
น่าจะพอได้เห็นภาพ ค่าใช้จ่ายต่างๆคร่าวๆกันว่าเป็นยังไง เท่าไหร่บ้าง ซึ่งจะเห็นได้ว่า ราคาตั๋วเครื่องบินและที่พักนั้นมีผลต่องบประมาณการเที่ยวโดยรวมของทริปค่อนข้างมาก แต่คนส่วนใหญ่คงจะใช้ค่าใช้จ่ายกันในระดับกลางๆระหว่างแบบประหยัดสุดๆและแบบทั่วๆไป หรือประมาณ 1 หมื่นบาทต่อทริปนั่นเอง เพราะอย่าลืมว่าการไปเที่ยวของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน อย่ามัวไปทำตามหรือเลียนแบบค่าใช้จ่ายของคนอื่น ควรเที่ยวในแบบที่ทำให้เรามีความสุขและสนุกกับมันจะดีกว่าเนอะ
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจใน สิงคโปร์
อย่างที่บอกไปแล้วว่า สิงคโปร์เน้นการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมและความเจริญของเมือง สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเป็นการเดินชมตึกราบ้านช่องในเมืองของเขา ถึงสถาปัตยกรรมแบบเก่าและแบบใหม่ที่หลายแห่งผสมผสานออกมาได้อย่างลงตัว จะมีอะไรน่าสนใจบ้างมาดูกันเลย
เป็นหนึ่งสัญญลักษณ์ของความเจริญก้าวหน้าทางด้านสถาปัตยกรรมของประเทศสิงคโปร์ เป็นแหล่งรวมของสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น รีสอร์ทหรูขนาดใหญ่ 3 อาคาร ห้างสินค้าแบรนด์เนมระดับไฮเอน พิพิธภัณท์ศิลปะวิทยาศาสตร์ และจุดชมวิวสูงเสียดฟ้าที่ด้านบนของส่วนที่เป็นเรือ ที่สามารถมองเห็นเกาะสิงคโปร์ได้ทั้งส่วนเมืองและส่วนทะเล รวมทั้งการแสดงแสงสีเสียงเลเซอร์ ที่จัดขึ้นทุกวันด้วย ทั้งหลายทั้งปวงทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้
ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ S$23 dollars / ผู้สูงอายุ S$20 dollars / เด็ก S$17 dollars
เป็นอีกหนึ่งผลงานความสร้างสรรค์ของชาวสิงคโปร์ ที่แสดงถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทั้งการออกแบบและการก่อสร้าง กลายเป็นสวนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสวนหนึ่งของโลก ได้รับรางวัลมากมายจากทั่วโลก มีสัญญลักษณ์เป็นต้นไม้จำลองขนาดยักษ์ที่เรียกว่า Supertree และโดมแก้วเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีก 2 โดม ภายในนั้นได้มีการจำลองสภาพอากาศแบบต่างๆของต้นไม้ หนึ่งในนั้นคือป่าดิบชื้นที่มีการสร้างน้ำตกจำลองในร่มที่สูงที่สุดในโลกด้วย เรียกว่าเป็นสวนที่มีความเป็นที่สุดของโลกรวมกันอยู่เยอะจริงๆ
ค่าเข้าชมสวนเกือบทุกโซนจะฟรี ยกเว้นโดมเรือนกระจก ผู้ใหญ่ S$28 dollars / เด็ก S$15 dollars
สิงโตพ่นน้ำเมอร์ไลอ้อนเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก ปัจจุบันนี้ตั้งอยู่อยู่ทะเลอ่าวมารีน่า(Marina Bay) เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่มีผู้คนเดินทางไปเยือนมากที่สุดของประเทศสิงคโปร์ และยังเป็นจุดชมการแสดง แสงสีเสียงเลเซอร์ที่ชื่อว่า Wonder Full Show ของอ่าวมารีน่าเบย์ด้วย ไปเที่ยวสิงคโปร์ทั้งทีก็คงต้องไปถ่ายรูปกับสัญญลักษณ์ของประเทศเขาเป็นที่ระลึกซะหน่อยใช่มั้ยล่ะ
เข้าชมฟรี
เนื่องจากประเทศสิงคโปร์ประกอบด้วยคนเชื่อสายจีนมากถึง 75% ของประเทศทำให้ไชน่าทาวน์ของประเทศสิงคโปร์ก็มีขนาดใหญ่และอลังการไม่แพ้ประเทศอื่นๆ โดยมีบรรยากาศเป็นบ้านเรือนสไตล์โคโรเนียลที่ต่างก็ทาสีสันสดใส อย่างกับเดินอยู่ในภาพยนตร์เรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าเล็กๆขายของที่ระลึก ของฝากต่างๆ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความเป็นคนจีน เช่น ชา พัด ภาพวาด และหมูแผ่น ที่เป็นของฝากชื่อดังของย่านนี้ด้วย
เข้าชมฟรี
ถนนออชาร์ดเป็นย่านช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศสิงคโปร์ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ที่ทั้ง 2 ฝั่งของถนนจะเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆมากมาย ที่มีขายสินค้าจากแบรนด์เนมแถบจะทุกอย่าง ตั้งแต่แบรนด์ทั่วๆไปจนถึงแบรนดเนมหรูๆทั่วโลก เป็นหนึ่งในย่านช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงระดับโลก
เข้าชมฟรี
[topic1]ของกินเด็ด ร้านอร่อยห้ามพลาดใน สิงคโปร์[/topic1]
อาหารการกินของสิงคโปร์โดยรวมนั้นแบ่งออกหลักๆ เป็น 2 อย่างคือจากชาวจีน และชาวมาเล จนหลายๆเมนูก็เป็นการผสมผสานกัน และบางอย่างก็น่าตาเหมือนกับที่ขายในไทยจนถึงมีชื่อเรียกที่เหมือนกันด้วย ถึงแม้รสชาติจะแตกต่างกัน
[topic2]ข้าวมันไก่สิงคโปร์ หรือ Hainanese Chicken Rice[/topic2]
[caption id="attachment_20840" align="aligncenter" width="740"]
[caption id="attachment_20841" align="aligncenter" width="740"]
เมนูยอดนิยมที่ฮิตที่สุดในหมู่คนไทย คงจะหนีไม่พ้นข้าวมันไก่สิงคโปร์ ซึ่งจริงๆแล้วจะเรียกว่าเป็นข้าวมันไก่สไตล์ไฮหนานของประเทศจีน รสชาติแม้จะไม่จัดจ้านเท่าของไทย แต่เน้นที่ความนุ่มลื่น หอมมัน คำโตๆของเนื้อไก่ หาทานได้ง่ายทั่วๆไปตามศูนย์อาหาร มีร้านดังที่คนไทยนิยมอยู่ 2-3 ร้าน เช่น ข้าวมันไก่เทียนเทียน(Tian Tian) ย่านไชน่าทาวน์ และร้านข้าวมันไก่บุนตงกี่(Boon Tong Kee) ที่มีหลายสาขาทั่วสิงคโปร์ เช่น Boon Keng Station
[topic2]บักกุ๊ดเต๋ Buk Kut Teh[/topic2]
[caption id="attachment_20999" align="aligncenter" width="740"]
[caption id="attachment_21002" align="aligncenter" width="740"]
เป็นอีกหนึ่งเมนูยอดนิยมของคนไทย เป็นอาหารเช้าของชาวสิงคโปร์และชาวมาเลย์ รวมทั้งภาคใต้ของไทย โดยสูตรของสิงคโปร์จะเป็นน้ำซุปพริกไทยดำเข้มข้นกลมกล่อม ใส่กระดูกหมูชิ้นใหญ่ที่ตุ๋นจนเปื่อย ผสมกันจนได้ที่ รวมทั้งเครื่องใน เส้นหมี่และปาท่องโก๋ด้วย ร้านยอดนิยม เช่น ร้านบักกุดเต๋ ซองฟา(Song fa) ย่านคล้ากคีย์ และ ร้านอาเซง บักกุดเต๋(Ah Seng Buk Kut Teh) ย่านบูกิส
[topic2]ติ่มซำ Dim Sum[/topic2]
[caption id="attachment_20967" align="aligncenter" width="740"]
[caption id="attachment_20956" align="aligncenter" width="740"]
เนื่องจากประชากรมากกว่า 70% ของชาวสิงคโปร์มาจากประเทศจีน อาหารประชาติจีนอย่างติ่มซำ จึงเป็นหนึ่งในอาหารขึ้นชื่อของชาวสิงคโปร์ด้วย ร้านติ่มซำยอดฮิต เช่น ร้านมงกก ติ่มซำ(Mongkok Dim Sum) ย่านเกลัง และ ร้านเทกโป(Tak Po) ย่านไชน่าทาวน์
[topic2]คายาโทส Kaya Toast[/topic2]
[caption id="attachment_20282" align="aligncenter" width="700"]
เป็นเมนูอาหารเช้ายอดนิยมของชาวสิงคโปร์ โดยจะมีขนมปังปิ้งกรอบๆที่มีไส้เป็นแยมมะพร้าว กินกับไข่ลวกและชาหรือกาแฟ หาทานได้ทั่วไปตามห้าง หรือสถานีรถไฟใต้ดิน โดยจะมีร้านฮิตที่มีสาขาอยู่ทั่วสิงคโปร์ รวมทั้งเมืองไทยด้วย แต่จะมีสาขาดั้งเดิมอยู่ย่านไชน่าทาวน์ ชื่อว่า ร้านยาคุน คายาโทส(Yakun Kaya Toast)
[link1 src="https://www.talontiew.com/top-12-food-singapore/"]12 เมนูเด็ดที่ต้องลองที่ประเทศสิงคโปร์
ซื้ออะไรดีที่ สิงคโปร์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่เน้นอุตสาหกรรมการบริการ ไม่ว่าจะเป็น การเงิน การธนาคาร การขนส่ง การท่องเที่ยว แต่ไม่เน้นด้านการผลิต จึงไม่ได้มีสินค้าอะไรที่ผลิตในสิงคโปร์แล้วโด่งดังมากนัก ของที่น่าซื้อกลับไทยจึงเป็นของจากร้านขนมหรือร้านอาหารต่างๆที่เราไปชิมแล้วชื่นชอบ
▌คายาโทส Kaya Toast
จากความนิยมในขนมปังปิ้งทาแยมของ KAYA ที่มีรสชาติของแยมที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเป็นตัวชูโรง ซึ่งแยมของที่นี่ไม่ไม่ได้ทำจากผลไม้หรือช็อกโกแลตแบบทั่วไป แต่จะทำจากไข่ น้ำตาล กะทิ และใบเตย รสชาติจะหวานนวลๆ เนื้อจะเข้มข้น หอมอ่อนๆกลิ่นใบเตย อารมณ์คล้ายๆสังขยาใบเตยแต่มีความละมุนกว่า ทานกับขนมปังปิ้งร้อนๆเข้ากันแบบสุดๆ ที่สำคัญหาซื้อได้ง่ายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ราคาจะประมาณ 120 – 200 บาท
แนะนำสถานที่ซื้อ : ร้าน Ya Kun Kaya Toast ร้านขายของที่ระลึกภายในสนามบิน Changi และซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป
บักกุ๊ดเต๋(Buk Kut Teh)เป็นหนึ่งในอาหารขึ้นชื่อที่ใครมาสิงคโปร์ก็ต้องลองซึ่งมีร้าน Song Fa เป็นหนึ่งในร้านแนะนำที่มีรสชาติน้ำซุปที่เข้มข้นจนติดใจใครหลายๆคน จนล่าสุดทางร้านได้ออกผลิตภัณท์เป็นผงปรุงรสที่สามารถเอากลับไปทำน้ำซุปกินต่อเองที่บ้านได้ด้วย ใครที่ไปกินแล้วติดใจก็แนะนำให้ซื้อกลับไทยมาฝากหรือทำกินเองเลยก็ได้
แนะนำสถานที่ซื้อ : ร้าน Song Fa หลายสาขาทั่วสิงคโปร์และมาเลเซีย
▌ของที่ระลึกรูป Merlion
ของที่ระลึกแบบต่างๆที่เป็นรูป Merlion ที่ทั้งน่ารักน่าใช้มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจแม่เหล็กติดตู้เย็น แก้วน้ำ ที่รองแก้ว เซรามิก และอื่นๆอีกเพียบ สามารถเลือกตามงบได้เลย ของส่วนมากจะราคาไม่แพงซื้อเหมาๆไปแจกก็ไม่ค่อยลำบากกระเป๋าตังค์ ราคาเริ่มต้นประมาณ 60 บาท ที่แนะนำจะเป็นชุดจานชามเข้าชุดรูป Merlionของ supermama ที่เป็นลวดลายเรียบง่าย แต่ยิ่งดูยิ่งสวย
แนะนำสถานที่ซื้อ : Supermama Flagship Store และ LUCKY PLAZA
▌หมูแผ่น Bakkwa
หมูแผ่นของสิงคโปร์นี่นับว่ารสชาติอร่อยเด็ดขาดมากๆ จะมีทั้งเนื้อวัวและเนื้อหมูมีหลากหลายแบบ แตกต่างไปจากหมูแผ่นทั่วๆไปเรียกได้ว่าเป็นแบบพรีเมี่ยม มีความหนานุ่มชุ่มฉ่ำ กัดนี่ฟินอย่าบอกใคร บางแห่งยังมีแบบรสเผ็ดหรือรสชาติแปลกใหม่ๆให้ได้ลิ้มลอง ทานเป็นกับข้าวก็ได้หรือจะทานเปล่าๆก็ดีรับรองว่าซื้อมาฝากผู้ใหญ่ต้องถูกใจมากแน่ๆ โดยที่มีจะมีร้านหมูแผ่นมากมายให้เลือกตามอัธยาศัย ที่เก่าแก่ที่สุดเห็นจะเป็นร้าน Kim Hock Guan ที่เปิดมานานถึง 100 กว่าปี ร้าน Lim Chee Guan ที่หลายๆคนยกย่องว่าอร่อยมากที่สุดของสิงคโปร์ และร้าน Kim Hwa Guan หมูแผ่นที่นี่จะบางกว่าร้านอื่นๆ แต่นุ่มมาก หวานไม่มาก
แนะนำสถานที่ซื้อ : ร้าน Kim Hock Guan, ร้าน Lim Chee Guan และ ร้าน Kim Hwa Guan
พักที่ไหนดีใน สิงคโปร์
ประเทศสิงคโปร์ มีย่านต่างๆที่น่าสนใจแตกต่างกันไปมากมายหลายย่าน กระจายตัวอยู่ตามสถานีรถไฟใต้ดินต่างๆซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก การเลือกที่พักจึงไม่ได้เป็นอะไรที่ยุ่งยากหรือน่ากังวลซักเท่าไหร่ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะกระจุกตัวกันอยู่ในเมืองซึ่งมักจะอยู่ห่างกันไม่เกิน 3-4 สถานีรถไฟใต้ดินเท่านั้น และแต่ละย่านก็จะมีข้อดี ข้อเด่นแตกต่างกันไป เราจะมาแนะนำย่านต่างๆที่นักท่องเที่ยวนิยมไปพักกันพร้อมกับโรงแรมน่าพักของย่านนั้นๆด้วย
ก่อนจะไปถึงเรื่องข้อมูลย่านที่พัก จะขอเกริ่นเรื่องวิธีการเดินทางซะก่อนว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะใช้บริการรถไฟใต้ดินในการ เดินทางจากสนามบินสิงคโปร์เข้าตัวเมือง ซึ่งจะเป็นสายสีเขียว East West Line เพราะฉะนั้นย่านต่างๆที่อยู่ตามสถานีรถไฟใต้ดินของสายสีเขียวจึงเป็นตัวเลือกแรกๆของนักท่องเที่ยวเพราะเดินทางสะดวก ไม่ต้องลากกระเป๋าไปมา เพื่อเปลี่ยนสถานีกันให้วุ่นวายนัก
อีกเรื่องที่อยากจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยก็คือ โรงแรมที่สิงคโปร์จะแบ่งได้หลักๆ 2 ประเภทคือโรงแรมแบบทั่วๆไป และ ที่พักสไตล์โฮสเทล ซึ่งโรงแรมทั่วๆไปส่วนใหญ่จะเป็นแบบ 3 ดาวขึ้นไป มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ราคาส่วนใหญ่จะเริ่มตั้งแต่ 80-100 เหรียญต่อคืนขึ้นไป ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีอาหารเช้าให้ ห้องพักจะค่อนข้างเล็ก และก็จะมีโรงแรมแบบหรูหรา 5 ดาวให้เลือกเยอะเหมือนกัน ส่วนที่พักแบบโฮสเทลส่วนใหญ่จะเป็นห้องขนาด 4, 6 และ 8 คน แยกห้องน้ำ บางที่แยกเพศด้วย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบเช่นกัน ราคาประมาณ 30-40 เหรียญต่อคืนต่อคน หลายที่ก็จะมีอาหารเช้าให้ด้วย
เพื่อไม่ให้ยืดยาวมากไปนัก เราไปดูย่านน่าพักของประเทศสิงคโปร์กันเลยดีกว่า โดยเราจะขอแบ่งตามชื่อสถานีรถไฟใต้ดินเลยเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง
ย่านไชน่าทาวน์เป็นย่านที่พักฮอตฮิตอันดับหนึ่งของคนไทย รับรองได้ว่าอุ่นใจเดินไปไหนจะได้ยินภาษาไทยแทบจะตลอดทาง ถึงแม้ว่าสถานี Chinatown จะอยู่ในสายสีฟ้าและสายสีม่วง ไม่ได้อยู่ในสายสีเขียว East West Line ที่มาจากสนามบินก็ตาม แต่ก็เป็นสถานีที่มีรถไฟ 2 สายมาตัดกันซึ่งทั้ง 2 สายนี้ จะสามารถนั่งไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของสิงคโปร์ได้มากมายเลย เช่น เกาะเซนโตซ่า, ตึกเรือ Marina Bay Sands, สวน Garden by The Bay และย่าน Little India รวมทั้งย่านไชน่าทาวน์เอง ก็เป็นย่านท่องเที่ยวหลักด้วย เป็นย่านที่มีสีสันและคึกคักอยู่ตลอดเวลา มีทั้งของกิน ของช้อป วัดวาอารามต่างๆ จึงเหมือนแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาค้างแรมกันที่นี่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งย่านนี้ก็มีโรงแรมตั้งแต่ โฮสเทล ราคาถูกไปจนถึงโรงแรมระดับราคาปานกลางค่อนไปทางสูง เปิดให้บริการเป็นตัวเลือกมากมาย แต่นอกเหนือจากสถานีรถไฟ Chinatown แล้วก็จะมีอีกสถานีรถหนึ่งที่อยู่ในบริเวณไชน่าทาวน์เช่นกัน แต่เป็นสถานีของสายสีเขียวที่มาจากสถานีบินเลย นั่นก็คือ สถานี Outram Park ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างจากย่านถนนคนเดินไชน่าทาวน์ อยู่บ้างแต่ถ้าเอากระเป๋าไปเก็บแล้วเดินมาตัวเปล่าก็พอได้อยู่ ซึ่งมักจะมีราคาถูกกว่าที่สถานี Chinatown เล็กน้อย แต่ตัวเลือกของที่พักก็น้อยกว่ามากเช่นกัน
ใครสนใจย่านนี้ ก็มี 2 โรงแรมแนะนำคือ โรงแรม The Inn at Temple Street (กดจองได้ที่นี่) หรือ โรงแรม Hotel 81 Chinatown (กดจองได้ที่นี่) ราคาพอๆกันทั้ง 2 โรงแรมคือประมาณ 110 เหรียญต่อคืน และอีก 2 โฮสเทลแนะนำคือ โฮสเทล 5footway.inn Chinatown (กดจองได้ที่นี่) หรือ โฮสเทล iStay.inn (กดจองได้ที่นี่) ทั้ง 2 โฮสเทลราคาถูกพอๆกันที่ประมาณ 30 เหรียญต่อคนต่อคืนเท่านั้น หรือจะตามไปดู ข้อมูลโดยละเอียดของย่านสถานีรถไฟ Chinatown และ Outram Park พร้อมโรงแรมแนะนำ 11 โรงแรม ทั้งหมดเลยก็ได้
ดูรีวิว โรงแรม Hotel 81 Chinatown ได้ที่นี่
ดูรีวิว โรงแรม Santa Grand Hotel Chinatown ได้ที่นี่
สำหรับสถานีรถไฟใต้ดิน Aljunied จะเป็นย่านที่พักที่ชื่อว่า Geylang เป็นหนึ่งในย่านที่พักราคาถูกมาก เริ่มต้นกันประมาณ 50-70 เหรียญต่อคนต่อคืนเท่านั้น! ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมสไตล์ Business Hotel ค่อนข้างใหม่ สภาพห้องโอเค แต่ราคาพอๆกับ Hostel หรือถูกกว่า! และยังมีให้เลือกเยอะมากๆด้วย ทำให้ที่นี่เป็นย่านฮิตอันดับสองของคนไทย ที่รับรองว่าเมื่อไปถึงโรงแรมจะมีภาษาไทยลอยไปมาตลอดเวลาเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะต้องเดินจากสถานีรถไฟค่อนข้างไกลประมาณ 600-700 เมตร, อยู่ไกลจากตัวเมืองมากกว่าย่านอื่นๆ และยังเป็นย่านที่ค่อนข้างเสื่อมโทรมของประเทศสิงคโปร์ คือเดินผ่านแล้วรู้สึกว่ายังไม่ค่อยเจริญไม่สมกับเป็นประเทศสิงคโปร์เลย (แต่ก็ปลอดภัยมากอยู่ดี) จึงอยากจะแนะนำว่าถ้างบไม่ได้จำกัดมากจริงๆ การเลือกพักย่านอื่นในตัวเมืองที่เดินน้อยกว่านี้ คึกคักมากกว่านี้ ก็อาจจะดีกว่า
โรงแรมที่แนะนำของย่านนี้ โรงแรม Fragrance Hotel Ruby ราคาเริ่มต้นประมาณ 70-80 เหรียญสิงคโปร์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือจอง ที่นี่ และ โรงแรม Hotel 81 Lucky ราคาเริ่มต้นประมาณ 60 เหรียญสิงคโปร์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือจอง ที่นี่ โดยทั้ง 2 โรงแรมจะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Aljunied Station ที่สุด ห่างจากสถานีประมาณ 600 เมตร
ดู ข้อมูลย่านเกลัง(Geylang) และโรงแรมแนะนำของย่านเกลังต่อ
ดู รีวิวโรงแรม Fragrance Hotel Ruby ย่านเกลัง Geylang
สำหรับย่านและโรงแรมอื่นๆ สามารถติดตามกันต่อได้ตามลิงค์ด้านล่างเลย
แผนที่ต่างๆของ สิงคโปร์
แผนที่ต่างๆที่ช่วยให้การเที่ยวสิงคโปร์ง่าย และสนุกยิ่งขึ้น
วิธีการเดินทางต่างใน สิงคโปร์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีระบบขนส่งสาธารณะดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก มีเครือข่ายรถไฟแบบต่างๆกระจายครอบคลุมเขตตัวเมือง และมีเครือข่ายรถบัสครอบคลุมในส่วนที่เหลือ โดยมีบัตรชำระเงินแบบเติมเงินที่ใช้ร่วมกันได้หมดทุกระบบ รวมทั้งบางซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย เรียกว่า บัตร EZ-Link Card ซึ่งสามารถหาซื้อได้หลายแห่งเช่นที่สนามบิน นอกจากนี้ก็จะมีรถแท๊กซี่ระบบมิเตอร์ที่คิดค่าโดยสารตามระยะทาง เหมือนๆกับบ้านเรา เพียงแต่จะมีเงื่อนไขการเพิ่มค่าโดยสารที่ค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร ทั้งหลายทั้งปวงทำให้การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศสิงคโปร์ค่อนข้างจะง่ายแม้แต่กับนักท่องเที่ยวมือใหม่ก็ตาม เราไปดูรายละเอียดกันเลยดีกว่าว่า การเดินทางแต่ละแบบของประเทศสิงคโปร์เป็นยังไงกันบ้าง
จะเป็นวิธีการเดินทางที่เป็นที่นิยมที่สุด เพราะเข้าใจง่าย สะดวก รวดเร็ว และราคาประหยัด เครือข่ายรถไฟหลักของสิงคโปร์ เรียกว่าระบบ MRT(Mass Rapid Transit) เหมือนกับบ้านเรา ที่ส่วนใหญ่จะวิ่งอยู่ใต้ดินยกเว้นสถานีห่างไกลก็จะขึ้นมาบนดิน โดย ณ ปัจจุบันปี 2016 มีอยู่ทั้งหมด 6 สายกับประมาณ 121 สถานี ซึ่งสิงคโปร์ก็ยังมีแผนในการก่อสร้างเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ วิธีการใช้งานรถไฟใต้ดินสิงคโปร์ก็เหมือนที่เมืองไทยแทบจะทุกประการ โดยสามารถกดซื้อตั๋วที่ตู้อัตโนมัติทีละรอบก็ได้ หรือจะซื้อบัตรเติมเงิน EZ-Linkเอาแทนก็จะสะดวกมากกว่า ซึ่งใช้ได้กับระบบขนส่งสาธารณะหลักๆของสิงคโปรได้หมด ทั้งรถไฟ รถราง และรถบัส
ราคาเริ่มต้นของค่าโดยสารรถไฟ MRT ประมาณ 0.78 เหรียญ SGD ถึง 2.6 เหรียญ SGD รถไฟเริ่มวิ่งเที่ยวแรกประมาณ 5:30 และเที่ยวสุดท้ายตอนเที่ยงคืน
เป็นอีกหนึ่งวิธีการเดินทางที่นิยมกันรองลงมาจากรถไฟ เพราะราคาถูกมากเช่นกัน และมักจะมีป้ายจอดมากกว่ารถไฟทำให้หลายสถานที่จะเดินน้อยกว่า แถมระบบรถบัสของประเทศสิงคโปร์ก็ดีมากเหมือนกับประเทศที่เจริญแล้วอื่นๆ คือจะมีข้อมูลบอกอยู่ที่ป้ายรถบัสเลยว่า รถเบอร์อะไรผ่านที่ไหนบ้าง และเบอร์ สายไหนอะไรกำลังจะมา อีกกี่นาที เวลาขึ้นรถบัสก็ง่ายเหมือนกับขึ้นรถไฟ จะจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตร EZ-Link ก็ได้ แค่แตะตอนขึ้นแล้วก็แตะตอนลงเหมือนรถไฟเลย ค่าโดยสารก็พอๆกับรถไฟ จึงเหมาะกับการเดินทางออกนอกเส้นทางที่รถไฟวิ่ง เพราะประเทศสิงคโปร์ รถไม่ติดมาก และปริมาณรถบัสก็มีค่อนข้างเยอะ ข้อดีอีกข้อน่าจะเป็นการได้นั่งชมวิวเมืองสิงคโปร์ไปด้วยเพราะรถบัสสิงคโปร์ตอนกลางวันจะมีแบบ 2 ชั้นให้บริการเยอะเลย ส่วนข้อเสียน่าจะเป็นเรื่องเสี่ยงเจอรถติดกับรอรถนานนั่นเอง
ราคาเริ่มต้นของรถบัสแบบเบสิก 0-3.2 กิโลเมตรแรก เพียงแค่ 0.79 เหรียญ SDG เท่านั้น! และค่าโดยสารจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆตามระยะทาง แต่ทั้งนี้ราคาจะเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาของวันด้วย ซึ่งจะมีช่วงเวลาและรถบัสบางประเภทที่จะราคาแพงกว่านี้ เช่นช่วง Peak หรือช่วงดึก จะราคาแพงขึ้น อย่างไรก็ตามการชำระค่าโดยสารด้วยเงินสดจะไม่มีการถอนเงินต้องเตรียมเงินไว้ให้พอดีเท่านั้น
การใช้บริการรถบัส ให้ต่อคิวขึ้นรถบัสที่ด้านหน้า ถ้าใช้บัตร EZ-Link ก็แตะเข้าไปที่แป้น หรือถ้าใช้เงินสดก็ใส่เข้าไปที่ช่องข้างคนขับ ตอนจะลงก็กดปุ่มสีแดงเมื่อกำลังจะถึงป้ายที่เราจะลง ให้ลงที่ประตูตรงกลางรถบัส ถ้าใช้บัตร EZ Link ก็แตะอีกทีที่หน้าประตูทางลง
จากสนามบินชางฮีเข้าเมืองสิงคโปร์
สนามบินชางฮีสิงคโปร์(Singapore Changi Airport)เป็นสนามบินสำหรับประชาชนทั่วไปเพียงแห่งเดียวของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็น Hub ของระบบขนส่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Southeast Asia)และมีจำนวนผู้โดยสารและสินค้ามากที่สุดในโลกด้วย ในปี 2012 มีผู้โดยสารเดินทางมาที่สนามบินนี้ทะลุ 50 ล้านคนแล้ว ยังไม่หมดสนามบินชางฮียังได้รับรางวัล สนามบินที่ดีที่สุดในโลก(World Best Airport) จาก Skytrax ติดกันมา 4 ปีซ้อนแล้ว(2012-2016) ตั้งอยู่พื้นที่ขนาด 8,100 ไร่ของย่านชางฮี(Changi)ที่อยู่ทางตะวันออกสุดของเกาะสิงคโปร์ อยู่ห่างจากใจกลางเมืองสิงคโปร์ประมาณ 20 กิโลเมตร
เกริ่นนำถึงความยิ่งใหญ่และทันสมัยของสนามบินกันไปพอสมควรแล้ว มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ปัจจุบันสนามบินชางฮี(Changi Airport)มีอาคารผู้โดยสารทั้งหมด 3 Terminal การเชื่อมต่อระหว่างอาคารผู้โดยสาร(Transfer Terminal)ของสนามบินจะมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ ใช้บริการรถไฟ(Skytrain)ที่วิ่งระหว่าง Terminal 2 และ Terminal 3 ใช้เวลาประมาณ 4 นาที ให้บริการตลอดเวลาตั้งแต่ ตี 5 จนถึง ตี 2 ครึ่ง ใช้บริการได้ ฟรี ส่วนในช่วงเวลาที่รถไฟไม่ได้ให้บริการ การเดินระหว่าง Terminal 2(E Gates) และ Terminal 3(B Gates) จะมี Shuttle Bus ให้บริการแทน ใช้เวลาประมาณ 6-8 นาที มีรถออกทุกๆ 5 นาที อยู่ที่ลานจอดรถบัส North Bus Station ชั้น 1(Level 1) เหมือนกันทั้ง 2 Terminal เลย
เป็นทางเลือกที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ มีระยะการเดินทางเข้าตัวเมืองประมาณ 30 นาที ราคาประมาณ 1.9 เหรียญสิงคโปร์ SGD ให้บริการตั้งแต่ ตี 5 ครึ่งจนถึง 23:18 โดยรอบแรกที่ไปถึงสนามบินคือตี 5:26 วันจันทร์-เสาร์ ส่วนวันอาทิตย์ รอบแรกจะไปถึงเวลาตี 5:54 และรอบสุดท้ายที่ไปถึง airport คือ 23:18 สามารถขึ้นได้ทั้ง Terminal 2 และ Terminal 3 สามารถเลือกได้ว่าจะซื้อตั๋วครั้งเดียว หรือแบบบัตรเติมเงินที่เรียกว่า EZ-Link Card ซึ่งสามารถใช้ได้ต่อ แนะนำให้ซื้อแบบนี้ โดยจะเสียเงินค่ามัดจำบัตรเพิ่มอีก 1 เหรียญ โดยรถไฟจะวิ่งไปสิ้นสุดที่สถานี Tanah Merah station ซึ่งจะเป็นตู้รถไฟโล่งๆทำให้สามารถวางกระเป๋าใบใหญ่ๆได้สบาย จากนั้นจะต้องต่อรถไฟสาย East West Line สีเขียว เข้าเมืองต่อ ซึ่งจะเป็นรถไฟแบบทั่วๆไป และคนค่อนข้างเยอะ
* โดยปกติสถานีรถไฟจะสามารถขึ้นได้ทั้ง Terminal 2 และ Ternminal 3 แต่บางครั้งจะมีการก่อสร้างหรือซ่อมแซม จึงอาจจะเปิดให้บริการแค่ Terminal เดียว เราก็แค่นั่งรถไฟเปลี่ยน terminal เท่านั้น
ข้อดีคือ สะดวก ไม่ต้องเสียเวลารถติดในช่วง rush hour ใช้เวลาค่อนข้างแน่นอน และประหยัดที่สุด
ข้อเสียคือ มีเวลาวิ่งแค่รอบ ตี 5 ครึ่งจนถึง 23:18 เท่านั้น และไม่มีที่สำหรับวางกระเป๋า
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วแต่การจราจรด้วย ราคาจะแล้วแต่ระยะทางประมาณ 2.5 เหรียญสิงคโปร์ SGD ในการเข้าเมือง เป็นรถบัสเบอร์ 36 ให้บริการตั้งแต่เวลา 06:00 ถึง 22:50 สามารถขึ้นได้ที่ชั้นใต้ดินของ Terminal 1,2,3 โดยจะเริ่มวิ่งออกจากสนามบินเป็นที่แรก ทำให้มีโอกาสได้นั่งสูง แต่จะไม่มีที่วางกระเป๋าให้ เส้นทางการวิ่งคร่าวๆคือ East Coast, Esplanade, Orchard Road, และโรงแรม Raffles ดูเส้นทางการวิ่งของรถบัสทั้งหมด คลิก
ข้อดีคือ ราคาถูก มีที่นั่งค่อนข้างแน่นอน
ข้อเสียคือ ใช้เวลานาน และมีเวลาวิ่งไม่มาก
บัตรและพาสต่างๆใน สิงคโปร์
ละบัตรส่วนลดหลักๆของประเทศสิงคโปร์จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แบบคือ บัตรเติมเงินที่ใช้จ่ายเงินแทนเงินสดเวลาใช้บริการรถไฟและรถบัสสาธารณะได้ทุกระบบเรียกว่า บัตร EZ-Link Card และก็จะมีตั๋วแบบเหมาจ่ายรายวันสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เรียกว่า Singapore Tourist Pass และที่เพิ่งออกมาเพิ่มใหม่ เรียกว่า Singapore Tourist Pass Plus
เป็นบัตรหลักที่ใช้สำหรับชำระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของระบบขนส่งสาธารณะหลักๆของประเทศสิงคโปร์ได้หมด ทั้งรถไฟ รถราง และรถบัส ใช้นั่งรถรางข้ามเกาะไปเซนโตซ่าก็ยังได้ สามารถซื้อได้ตั้งแต่สถานีรถไฟใต้ดินที่สนามบินชางฮี โดยเสียเงินค่ามัดจำบัตร 1 เหรียญ SGD และสามารถแลกคืนได้ สามารถเติมเงินได้เองที่ตู้เติมเงิน(Top up)อัตโนมัติ นอกจากจะสามารถใช้ชำระค่าโดยสารรถไฟใต้ดินและรถบัสทุกระบบและทุกสายแล้ว ยังสามารถใช้ซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อเช่น 7-11 ได้ด้วย จึงเป็นบัตรที่แนะนำให้นักท่องเที่ยวทุกคนควรจะมีไว้ เพราะสะดวกสุดๆทีเดียว วิธีการใช้งานก็เหมือนบัตรรถไฟฟ้าที่บ้านเราคือเอาไปแตะตรงทางเข้าออกรถไฟ หรือถ้าเป็นรถบัสก็จะมีแป้นให้แตะตอนขึ้นและลงเช่นกัน
บัตร EZ-Link สามารถหาซื้อได้ง่ายๆตามสถานีรถไฟและร้านสะดวกซื้อต่างๆ เช่น 7-11 โดยจะมีค่าธรรมเนียมและค่ามัดจำบัตรรวมกัน 5 เหรียญ มีอายุใช้งานได้ 5 ปี ถ้าซื้อที่ร้าน 7-11 จะมีราคาต่ำสุด 10 เหรียญ ใช้ได้ 5 เหรียญ แต่ถ้าซื้อที่อื่นๆเช่น สถานีรถไฟจะราคาต่ำสุดที่ 12 เหรียญ แต่จะใช้ได้ 7 เหรียญ การเติมเงินขั้นต่ำ ครั้งละ 10 เหรียญ
จะเป็นตั๋วแบบเหมาจ่ายทีเดียวใช้ได้ Unlimited รอบ มีให้เลือก แบบ 1 วัน, 2 วัน และ 3 วัน ใช้ได้ทั้งกับรถไฟและรถบัสเช่นกัน แต่ใช้กับระบบขนส่งบางอย่างไม่ได้เท่ากับ EZ-Link เช่น รถรางข้ามไปเกาะเซนโตซ่า พร้อมกับเสียค่ามัดจำอีก 10 เหรียญซึ่งจะคืนมาเมื่อเรานำบัตรไปคืน วิธีการใช้งานก็เหมือนกับ EZ-Link เลยคือเอาไปแตะตรงทางเข้าออกรถไฟ หรือรถบัส
ราคาบัตร Singapore Tourist Pass แบบ 1 วัน 10 เหรียญ SGD
ราคาบัตร Singapore Tourist Pass แบบ 2 วัน 16 เหรียญ SGD
ราคาบัตร Singapore Tourist Pass แบบ 3 วัน 20 เหรียญ SGD
แพลนเที่ยวสิงคโปร์ที่แนะนำ
แนะนำแพลนเที่ยวสิงคโปร์ 3 วัน 2 คืน แบบไปเฉพาะที่เที่ยวฮิตๆ ไม่ฮิตไม่ไป ทริปเดียวเที่ยวได้ทั่วเกาะแบบครบๆ ไม่มีกั๊ก เป็นโปรแกรมเที่ยวเริ่มต้นของประเทศสิงคโปร์ที่เน้นเที่ยวเฉพาะสถานที่เฉพาะของประเทศสิงคโปร์หรือหาชมที่อื่นได้ยากเท่านั้น ถ้าไปเที่ยวนานกว่านี้ ก็จะสามารถรวมเอาอะไรที่น่าสนใจเพิ่มเข้าไปได้อีกเยอะ โดยเราได้ทำโปรแกรมเที่ยวสิงคโปร์ใน 1 วันไว้ให้เลือกหลายแบบที่ลิงค์นี้ เช่น โปรแกรมเที่ยวสิงคโปร์แบบ 4 วัน 3 คืน
ช่วงเช้าถึงบ่าย
ออกจากเมืองไทย ไปถึงสิงคโปร์ช่วงสาย เดินทางเข้าที่พัก เช็คอิน เก็บสัมพาระ แล้วไปกินติ่มซำกันที่ย่านไชน่าทาวน์ จากนั้นก็เดินเล่นย่านไชน่าทาวน์ เที่ยววัดพระเขี้ยวแก้ว, วัดแขก ศรีมาริอัมมันต์, ถนนคนเดิน และถนนสายอาหารย่านไชน่าทาวน์
ช่วงบ่ายถึงเย็น
จากไชน่าทาวน์ นั่งรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงินแบบไม่ต้องต่อรถ ไปลงที่สถานี Bayfront เพื่อเที่ยวสวนริมอ่าวมาริน่า(Marina Bay) ที่อลังการระดับโลก Garden by the Bay ข้างในจะใหญ่มาก มีอะไรให้ทำเยอะแยะ เช่น Supertree, โดมเรือนกระจก อีก 2 แห่ง และอื่นๆอีกมาก
ช่วงค่ำ
อาคารรูปเรือ มาริน่า เบย์ แซนด์ Marina Bay Sands
พอเริ่มมืด ให้เดินข้ามกลับมาที่สถานี Bayfront แล้วเดินเล่นภายในตึกเรือมาริน่าเบย์แซนด์(Marina Bay Sands) แล้วออกมาที่บริเวณริมอ่าว อีกของตึกเรือ เพื่อชมการแสดงแสงสีเสียงชุด Wonder Full Light สุดอลังการ จากนั้นเดินชมบรรยากาศริมอ่าวมาริน่าไปทางขวามือ จะเจออาคารรูปนิ้วมือ(ArtScience Museum) ข้ามสะพานเกลียวฮีลิกซ์(Helix Bridge) เดินผ่าน อาคารรูปทรงแปลกที่สวยงาม คนไทยหลายคนเรียกตึกทุเรียน Esplanade Theater จากนั้นข้ามสะพาน Jubilee Bridge เพื่อไปชมรูปปั้นสิงโตพ่นน้ำ เมอร์ไลอ้อน(Merlion) แล้วปิดท้ายด้วยการไปเดินชิลกินข้าวย่านริมแม่น้ำ Clark Quay ด้วยการนั่งรถไฟใต้ดินที่สถานี Raffles Place Station ไปลงที่สถานี Clark Quay Station
ตื่นเช้ามาหาอะไรกินแถวที่พักก่อน จากนั้นนั่งรถไฟไปที่สถานี Harbourfront เพื่อต่อรถรางข้ามเกาะไปเซนโตซ่า(Sentosa) เพื่อเที่ยวสวนสนุกระดับโลก Universal Studio Singapore ภายในมีเครื่องเล่นมากมาย สามารถอยู่เล่นได้ทั้งวันจนเย็นเลย เสร็จแล้วก็เดินเล่นช้อปปิ้ง กินข้าวรอแถว Resort World Sentosa ได้เลย เพื่อรอชมการแสดงแสงสีเสียงชุด Wing of Time เวลา 19:40 แล้วต่อด้วย Crane Dance เวลา 21:00 ก็จบแล้ว 1 วัน
เช้า
เช้าตื่นมาเช็คเอ้าที่โรงแรม ฝากกระเป๋าให้เรียบร้อย หาข้าวเช้าทานซะก่อน จากนั้น จะไปเที่ยวย่าน Little India ดูวัฒนธรรมของชาวอินเดียในประเทศสิงคโปร์ ใช้เวลาย่านละครึ่งวันเช้า
บ่ายถึงเย็น
ปิดท้ายตอนบ่ายถึงเย็นด้วยการเดินเที่ยวเล่น ช้อปปิ้งที่ย่านถนน ออชาร์ด Orchard Road หาอะไรทาน เช็คเวลาเครื่องออกดีๆ จากนั้นให้กลับโรงแรม เอากระเป๋าแล้วเดินทางไปสนามบินชางฮี เตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทย
เกล็ดเล็กๆน้อยๆที่น่ารู้ของสิงคโปร์(Singapore)
ชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสิงคโปร์(Republic of Singapore) เป็นนครรัฐสมัยใหม่และประเทศที่เป็นเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่นอกปลายทิศใต้ของคาบสมุทรมลายู หรือใต้สุดของมาเลเซีย และอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร 137 กิโลเมตร ดินแดนของประเทศประกอบด้วยเกาะหลักรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่งมักเรียกว่าเกาะสิงคโปร์ในภาษาอังกฤษ และเกาะอูจง (Pulau Ujong) ในภาษามลายู และเกาะเล็กๆอีกกว่า 60 เกาะ ประเทศสิงคโปร์แยกจากคาบสมุทรมลายูโดยช่องแคบยะฮอร์ทางทิศเหนือ และจากหมู่เกาะรีเยาของประเทศอินโดนีเซียโดยช่องแคบสิงคโปร์ทางทิศใต้ ประเทศมีลักษณะแบบเมืองอย่างสูง และคงเหลือพืชพรรณดั้งเดิมเล็กน้อย ดินแดนของประเทศขยายอย่างต่อเนื่องโดยการแปรสภาพที่ดิน
สิงคโปร์มีประชากรทั้งสิ้น 5 ล้าน 6 แสนคน นับถือศาสนาแตกต่างหลากหลาย ทั้งพุทธ, คริส, อิสลาม และไม่มีศาสนา ปกครองด้วยระบอบพรรคการเมืองเดียว เริ่มเป็นที่รู้จักจากการเป็นโคโลนี่เล็กๆในปี 1819 และเพิ่งจะเป็นประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1965 แต่ก็สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เป็นหนึ่งใน 4 เสือแห่งเอเชีย จนปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนามากแห่งหนึ่งของโลก เน้นหนักในอุตสาหรกรรมการเงินและการค้าที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก